รู้จักกับ “แม่ออย” คุณแม่ฟูลไทม์คนเก่ง เลี้ยงลูกจนประสบความสำเร็จ ดีกรีนักเปียโนระดับโลก

Last updated: 15 มี.ค. 2565  | 

 

❝ Once a mom. Always a mom. ❞ - เมื่อได้เป็นแม่เพียงหนึ่งครั้งก็จะเป็นตลอดไป

 

               ต้องยอมรับว่าการเป็นแม่คนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะบทบาทของคุณแม่ฟูลไทม์ที่ใครหลายคนมองว่า “สบาย... อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว” แต่ความจริงแล้ว “คุณแม่ Fulltime” ต้องยอมเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อเลี้ยงลูก ทำงานบ้าน และยังต้องอดทนกับความกดดันจากคนในบ้านและสังคมภายนอก
               มัมสเตอร์มีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับคุณแม่ออย (คุณจันทรรัตน์ กิตติอมรวงศ์) คุณแม่ Fulltime ที่ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูก เริ่มต้นสัมภาษณ์ด้วยบรรยากาศพูดคุยสบาย ๆ เป็นกันเอง สิ่งที่เราสัมผัสได้ชัดเจนคือแววตาแห่งความภาคภูมิใจ บวกกับรอยยิ้มแห่งความสุขของแม่ออย เรามาดูบทสัมภาษณ์น่ารักๆ และเคล็ดลับการเลี้ยงลูกในแบบฉบับคุณแม่ Fulltime กับแม่ออยกันค่ะ

 

ตัดสินใจลาออกจากงาน.. มาเป็นคุณแม่ Fulltime

               ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงานมาเป็นคุณแม่ Fulltime ? เพราะถ้าเราจ้างพี่เลี้ยง อาจจะทำให้เรารู้จักลูกได้ไม่ดีพอ ไม่รู้ว่าลูกชอบกินอะไร ไม่รู้ว่าลูกนิสัยเป็นยังไง ลูกของเรา.. เราต้องรู้จักลูกดีกว่าพี่เลี้ยงสิ แม่เลยตัดสินใจลาออกจางานเพื่อเลี้ยงลูกเองค่ะ การเป็นคุณแม่ Fulltime ถามว่าเครียดและกดดันไหม ? ก็มีบ้าง แต่การที่เราเลี้ยงลูกของเราเองมันทำให้เราสบายใจ ไม่ได้เครียดอะไรมาก เพราะเวลาที่ลูกทำอะไรไม่ถูกต้อง เราก็สามารถพูดและสอนกับเขาได้โดยตรงเลยซึ่งมันดีกว่าให้คนอื่นมาสอน อีกอย่างนึงเขาจะได้เห็นความลำบากของแม่ ว่าเราทำอะไรให้เค้าบ้าง เขาจะสัมผัสได้ว่าเรารักเขามากแค่ไหน

               ช่วงเวลาที่มีค่าของคุณแม่ คือ เวลาที่อยู่บนรถและได้คุยกับลูกหลังเลิกเรียน เพราะกลับถึงบ้านลูกก็ทำการบ้าน ต่างคนต่างแยกย้ายไป เพราะฉะนั้นช่วงเวลารถติดและอยู่บนรถด้วยกันเป็นช่วงเวลาที่เราคุยกับลูก เพราะลูกเองก็อยากคุยกับเรา พอลูกขึ้นรถปุ๊ปเราก็จะถามลูกเลย ถามไปเรื่อย ๆ เราก็จะได้รู้เรื่องราวของลูกว่าเขาเจออะไรมาบ้างก็ค่อยๆหาทางสอนเขาไปด้วย เพราะบางเด็กไม่ได้ต้องการให้เราดุหรือสอนเขาตลอดเวลา เราต้องทำให้การพูดคุยมีความสนุก ทำให้การพูดคุยหลังเลิกเรียนกลายเป็น Routine จนทุกวันนี้ลูกเริ่มโตเขาก็ยังเล่าให้เราฟังเหมือนเดิมเลยค่ะ

 


              แม่ออยเป็นคุณแม่ของน้องบิงโกและน้องโบนัส ศิษย์คนเก่งของโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า (เพชรเกษม) น้องบิงโกและน้องโบนัสเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีคุณพ่อคุณแม่ที่คอยใส่ใจและสนับสนุนในเรื่องที่ลูกสนใจอย่างเต็มที่ 

แม่ออยให้สัมภาษณ์กับเราว่า “ปัจจุบันน้องบิงโก อายุ 13 ขวบ เป็นนักเปียนโน ในสังกัดของ Yamaha Artist คว้ารางวัลระดับโลกการันตีความสามารถมาแล้วมากมาย ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ส่วนคนเล็กน้องโบนัส อายุ 10 ขวบ ศึกษาอยู่ชั้น ป.4 โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ชื่นชอบและมีความสามารถได้ด้านยิมนัสติก


พาลูกเข้าเรียนตั้งแต่ 2 ขวบครึ่ง เพราะไม่อยากให้ลูกเข้าใจว่าเราทอดทิ้งเขา

              แม่เริ่มส่งน้องบิงโกเรียนเตรียมอนุบาลตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่งค่ะ เพื่อให้เขาได้เตรียมความพร้อมก่อนเข้าอนุบาล 1 – 3 อีกประเด็นหนึ่งคือตอนนั้นแม่กำลังท้องคนเล็กอยู่ค่ะ และช่วงที่คลอดคนเล็ก น้องบิงโกอายุ 3 ขวบพอดี ถ้าส่งน้องเข้าเรียนตอนนั้นอาจจะทำให้น้องเข้าใจว่าเราทอดทิ้งเขา สนใจแต่น้องคนเล็ก และจับเขาเข้าโรงเรียน
              แม่เลยตัดสินใจให้บิงโกเข้าโรงเรียนตั้งแต่ 2 ขวบกว่า ขณะที่แม่อุ้มท้องคนเล็กอยู่ แม่ก็พาบิงโกมาส่งที่โรงเรียนด้วย ทำให้เขารู้สึกว่าแม่ยังรักเขา ช่วงแรกเขาก็มีต่อต้านบ้าง ว่ามาโรงเรียนคืออะไร ยังไม่เข้าใจ แต่เราต้องทำให้เขาชินกับการมาโรงเรียนทุกวันๆ จนวันนึงเราคลอดคนเล็ก ลูกจะไม่รู้สึกว่าพ่อแม่ทอดทิ้งเขา ซึ่งอันนี้เป็นข้อดีมาก ๆ ตามที่คุณหมอแนะนำมา ส่วนคนเล็ก น้องโบนัส ก็เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ 2 ขวบครึ่งเหมือนกันค่ะ เพราะมีพี่โบนัสเรียนอยู่แล้วเลยพาน้องมาเรียนด้วยกันเลย

 

เหตุผลที่เลือกโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า (เพชรเกษม) ให้กับลูก

              การเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเปรียบเสมือนก้าวแรกของการออกไปเรียนรู้โลกภายนอกโดยที่ไม่มีพ่อแม่คอยช่วยเหลือ แม่ออยให้สัมภาษณ์กับเราว่า “เหตุผลที่เลือกโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า (เพชรเกษม) ให้กับลูก อย่างแรกเลยคือโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านค่ะเดินทางสะดวก ที่สำคัญเป็นโรงเรียนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเด็กเล็กโดยเฉพาะ และเน้นการเรียนการสอนด้านวิชาการ คุณแม่เองก็มีเป้าหมายตั้งแต่แรกเลยคืออยากให้ลูกเรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เพราะคุณพ่อเป็นศิษย์เก่าที่นั้นก็เลยต้องมาสายวิชาการ แม่จึงเลยไว้ใจและอยากให้ลูกเริ่มต้นเรียนอนุบาลที่นี่ตามสโลแกนของโรงเรียนเลยค่ะ อนุบาลเด่นหล้าดีที่สุดในย่านนี้”
               
นอกจากนั้นอีกหนึ่งเหตุผล คือ เงินค่าเทอมที่จ่ายไปครั้งเดียวคือ “จบเลย”  ไม่จำเป็นต้องไปจ่ายค่าเรียนเสริมที่อื่นอีก มีคนบอกว่าค่าเทอมที่โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้าราคาสูง แต่แม่คิดว่าไม่เลยนะคะ เพราะเงินค่าเทอมที่จ่ายให้โรงเรียนไปครั้งเดียวคือจบเลย ไม่จำเป็นต้องเอาไปจ่ายค่าเรียนเสริมอื่น ๆ แม่คิดว่ามันคุ้มค่ามาก วันหยุดเสาร์อาทิตย์เราก็ได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูก ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนเสริมที่อื่นเลย ไม่ต้องพาไปเรียนอังกฤษเพิ่ม คณิตเพิ่ม เพราะต้องยอมรับว่าโรงเรียนเด่นหล้า เป็นโรงเรียนที่เน้นด้านวิชาการจริง ๆ คุณครูเองก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญ สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนมีความทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวก ห้องเรียน ห้องกิจกรรม สื่อ เทคโนโลยีมีความพร้อมเป็นอย่างดี ทำให้แม่มั่นใจในการเรียนการสอนของที่นี่ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนเสริมที่ไหนเลยค่ะ
              คุณแม่ออยกล่าวว่า “ที่โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้านอกจากจะเน้นด้านวิชาการแล้ว ช่วงหลังเลิกเรียนทางโรงเรียนจะมีกิจกรรมให้เลือกเยอะมาก ศิลปะ ดนตรี ว่ายน้ำ มีทุกอย่างครบจริง ๆ ค่ะ สิ่งแรกที่ให้น้องบิงโกเรียน คือ เรียนเต้นค่ะ เพราะน้องบิงโกเป็นเด็กที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก ก็เลยให้ไปเรียนคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพ เพื่อให้ลูกกล้าแสดงออก กล้าคิด กล้าทำ กล้าเต้นค่ะ จากเด็กที่ขึ้อายในวันนั้น น้องบิงโกก็กลายเป็นเด็กกิจกรรม ไปเต้นทุกงานเลยค่ะคราวนี้ ส่วนวันอื่น ๆ แม่ก็เลือกให้น้องไปเรียนว่ายน้ำ ข้อดีอย่างนึงคือคุณแม่ไม่ต้องรีบไปรับเขาเพราะเราก็มีคนเล็กอยู่ที่บ้าน เราให้ลูกได้เรียนได้ทำกิจกรรมก่อนแล้วค่อยไปรับเขากลับบ้านค่ะ”

 

 

              อย่างที่บอกว่าคุณแม่ Fulltime ต้องเลี้ยงลูกเอง 24 ชั่วโมง ช่วงที่ลูกเข้าเรียนอนุบาล แม่ไม่กังวลเลยค่ะเพราะทางโรงเรียนใส่ใจและดูแลลูกเราได้ดีมาก ๆ อย่างตอนที่น้องเรียนเตรียมอนุบาล เขาจะมี “สมุดรายงาน” ที่คุยกันระหว่างคุณครูกับแม่ คุณครูที่โรงเรียนน่ารักมากค่ะ เขียนรายงานความประพฤติน้องส่งให้แม่อ่านทุกวัน แม่ก็จะคอยนั่งอ่านได้รับรู้เรื่องราวของลูกในแต่ละวัน วันนี้น้องไม่ทานข้าว วันนี้น้องร้องไห้ คุณครูจะเขียนบอกตลอด ใส่ใจทุกรายละเอียด ครูสามารถอธิบายลูกเราได้เสมือนเราเลี้ยงลูกเองเลยค่ะ พอแม่อ่านจบก็สามารถเขียนโต้ตอบครูกลับไปได้ ว่าอยากให้ช่วยดูแลลูกในเรื่องไหนเป็นพิเศษ อย่างที่รู้กันว่าจำนวนนักเรียนของโรงเรียนเด่นหล้าก็เยอะอยู่พอสมควร แต่คุณครูก็มีความตั้งใจและใส่ใจเขียนรายให้กับผู้ปกครองของนักเรียนทุกคน  จุดนี้ต้องยอมรับว่าโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า.. เขาดูแลลูกเราได้ดีจริง ๆ ครูสามารถอธิบายลูกเราได้เสมือนเราเลี้ยงลูกเองเลยค่ะ

ก่อนลูกเข้าสู่สนามสอบโรงเรียนชั้นประถม.. ทางโรงเรียนเตรียมความพร้อมให้กับลูกอย่างไรบ้าง ?

               เมื่อลูกเริ่มเข้าสู่ชั้นอนุบาล 2 และอนุบาล 3 ทางโรงเรียนจะมีการแนะนำข้อมูลโรงเรียนชั้นประถมต่าง ๆ ให้กับคุณพ่อคุณแม่ตลอด มีการจัดการสอบทดลองโดยจำลองสถานที่ และบรรยากาศให้คล้ายสนามสอบจริง ฝึกสัมภาษณ์ ทำให้ลูกเรารู้สึกคุ้นเคย เมื่อสอบปฏิบัติจริง ๆ จะได้ไม่ตื่นกลัว ส่วนเรื่องวิชาการไม่ต้องห่วงเลยค่ะเพราะโรงเรียนจัดการดีมาก

 

จุดเริ่มต้นของน้องบิงโกกับเส้นทางนักเปียโนระดับโลก

               ช่วงนั้นน้องบิงโกเริ่มมีความกล้าแสดงออกเพราะตอนอนุบาล ทางโรงเรียนเด่นหล้ามีคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพให้น้องได้เรียนเต้นและทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย แม่ออยเล่าให้เราฟังว่า ช่วงที่น้องบิงโกอายุ 4 ขวบ ตอนนั้นบ้านเราไม่ใช่บ้านนักดนตรี ไม่มีใครเล่นดนตรีเลยค่ะ แม่เคยส่งน้องบิงโกไปเรียนไวโอลิน ปรากฏว่าพอน้องเรียน เขาก็ร้องไห้ ยังไงก็ไม่ยอมเรียนเลย ในใจแม่คิดว่านี่คงไม่ใช่ทางของลูกเรา แต่มีอยู่วันนึงบิงโกไปเดินเล่นในห้าง ไปเดินกดเปียโนที่เขาตั้งขาย เขาก็เลยรู้สึกชอบ และมาบอกกับแม่ว่าอยากเรียน ตอนนั้นแม่ยังไม่ให้อยากเขาเรียนเพราะคงคิดว่าไม่ใช่ทางของเขา เขาคงไม่ชอบหรอก
             มีวันนึงเพื่อนแม่โทรมาชวน ให้น้องบิงมาเรียนเปียโนที่ยามาฮ่า สาขาบิ๊กซีเพชรเกษมด้วยกัน เพราะมีเด็กนักเรียนลาออกไป 1 คน ถ้าบิงโกมาเรียนก็จะได้ครบ 10 คน แต่ตอนนั้นเขาเรียนกันไป 3 – 4 ครั้งแล้วค่ะ ก็ตัดสินใจพาน้องบิงโกไปเรียนตอนแรกก็แอบกังวลกลัวลูกตามคนอื่นไม่ทัน ปรากฏว่าบิงโกมาทดลองเรียนแล้วชอบมากค่ะ หลังจากนั้นบิงโกก็เรียนทันเพื่อนๆ ในคลาส จนกลายเป็นเรียนนำเพื่อนๆในคลาสค่ะ จากนั้นก็เรียนมาตลอด จนตอนนี้น้องก็ดูโน๊ตเอง ซ้อมเองที่บ้าน แม่ก็ให้กำลังใจและคอยซัพพอร์ทเขามาตลอด กลายเป็นว่าเขาสนุกและมีความสุข



อุปสรรค.. เป็นได้ทั้งภูผาที่ขวางกั้นและบันได้ให้ก้าวขึ้นอยู่ที่เราจะมอง

             กว่าบิงโกจะมาจุดถึงนี้เขาก็แพ้มาเยอะ เด็กทุกก็ต้องเริ่มจากการแพ้ตั้งต้นมาก่อน เราก็ต้องดูข้อผิดพลาดว่าเกิดจากอะไร หลังจากนั้นก็คอยให้กำลังใจเขา การแข่งเปียโนต่างกับการแข่งว่ายน้ำ ถ้าลูกกระโดดแข่งว่ายน้ำเราจะตะโกนเชียร์สุดแรงยังไงก็ได้ แต่การแข่งเปียโน เมื่อเราส่งลูกเข้าสู่สนามแข่งขันแล้วเขาก็จะให้เราออกมาเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต้องมานั่งรอในมุมที่คิดว่าเราจะเห็นลูก ก่อนแข่งขันบิงโกก็จะไปนั่งในห้องสมาธิเพื่อที่จะเตรียมโดนเรียกชื่อออกไปแข่ง เขาก็จะนั่งอยู่คนเดียว ไม่มีใครเข้าไปปลอบหรือพูดคุยได้ ระหว่างการแข่งขันทุกอย่างต้องเงียบ เราได้แค่ปรบมือหลังที่ลูกแข่งขันเสร็จเท่านั้น
             อุปสรรคอย่างหนึ่งของการแข่งขันในต่างประเทศคือสภาพอากาศที่หนาวเย็น เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ตัวลูกอุ่นที่สุด แม่เลยแก้ปัญหาโดยให้เขาพกถุงร้อนไว้ในสูทเพื่อให้นิ้วไม่แข็ง เพราะระหว่างการแข่งขันต้องใช้สมาธิ และเพลงบรรเลงที่ใช้ในการแข่งขันแต่ละเพลงก็นานมาก ดังนั้นต้องเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด แต่คุณแม่เองก็ไม่เคยกดดันน้องว่าจะต้องชนะ แต่บอกเขาเสมอว่าทำให้ดีที่สุด เพราะบิงโกเดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว เป็นตัวแทนของประเทศไทย สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ บอกแบบนี้ก็ทำให้เขามีกำลังใจสู้ต่อค่ะ



             สุดท้ายนี้แม่ออยอยากฝากถึงพ่อแม่ทุกคนว่า จริง ๆ แล้ว การเลี้ยงลูก คือ ความใส่ใจ เวลาเราอยู่กับลูกเราต้องคอยสังเกตุเขา ดูว่าสิ่งที่เขาชอบคืออะไร เพราะพ่อแม่บางคนพยายามยัดเยียดสิ่งที่เราชอบให้กับลูก วิธีดูว่าลูกชอบอะไร ง่ายนิดเดียวค่ะ อะไรก็ตามที่เขาทำอยู่ได้นาน ๆ กว่าที่เคยเป็น เช่น อาจจะชอบต่อ LEGO นาน ๆ เรียกก็ไม่ได้ยิน อย่าเพิ่งไปมองข้ามหรือตำหนิลูก มันอาจจะเป็นทางของเขา บางทีโตขึ้นเขาอาจจะเป็นนักประดิษฐ์หุ่นยนต์ก็ได้ เพียงแต่ว่าพ่อแม่ต้องคอยสนับสนุนและส่งเสริมเขา อย่าไปปิดโอกาสลูก อย่างลูกคนเล็กน้องโบนัส ชอบกระโดด ตีลังกาจนมาวันนึงเขาสามารถตัดตัวได้ ต่อท่าได้ แม่ก็เลยพาน้องไปเรียนที่ยิมนัสติกแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าน้องชอบมาก จนทุกวันนี้น้องโบนัสเรียนทุกเสาร์ - อาทิตย์เลยค่ะ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้