Last updated: 23 มิ.ย. 2562 |
เคยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับบุคคลิกภาพของผู้นำ 7 ประการ โดยผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งที่ชื่อ สตีเวน โคเวย์ ท่านได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการที่จะเป็นผู้นำไว้ และกล่าวว่าบุคคลใดที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนั้นถือเป็นผู้นำที่มีคุณค่า แต่ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตท่านได้เขียนหนังสือออกมาเล่มสุดท้ายเกี่ยวกับ "บุคคลิกที่ 8" ของการเป็นผู้นำ ซึ่งท่านได้อธิบายว่าเมื่อมีบุคคลิกที่ 8 นี้แล้วอีก 7 บุคคลิกที่เคยมีอยู่ก่อนนั้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป และนั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า.......ความไว้ใจหรือ Trust ที่ในปัจจุบันหายากขึ้นทุกวัน
ตั้งแต่เริ่มเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสัมพันธภาพมาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อนก็ได้เขียนถึงปัจจัย 5 ปัจจัยที่จะทำให้สามารถครองรักครองเรือนกันได้อย่างเป็นสุขและมีสัมพันธภาพที่ยืนยาว ปัจจัยทั้ง 5 ดังกล่าวก็คือ " เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือกัน นับถือกัน และให้อภัยกัน" ทั้ง 5 ปัจจัยนั้นก็เช่นกันปัจจัยที่สำกคัญที่สุดก็คือ.....การไว้วางใจซึ่งกันและกันนั่นเอง
สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกได้ทรงตรัสเอาไว้เกี่ยวกับการครองคู่ว่า......สามีภรรยาที่อยู่กันจนแก่เฒ่านั้นที่อยู่กันได้ก็เพราะมองเห็นความดีของกันและกัน แน่นอนว่าคนที่จะมองเห็นความดีของกันและกันได้ต้องมี "ความไว้วางใจกัน" เป็นพื้นฐานเสมอ
แม้กระทั่งเทพแห่งความรักของฝรั่งที่ชื่อว่า "คิวปิด" ที่มีหน้าที่แผลงศรให้หนุ่มสาวรักกันก็มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ "การไว้วางใจ" กับความรักเช่นกัน เรื่องเล่าว่าคิวปิดได้พบนางในฝันเป้นหญิงสาวสวยที่เป็นคนธรรมดา และคิวปิดก็จะมาหาตอนกลางคืนเพื่อที่จะพรอดรักกัน และจะจากไปก่อนฟ้าสางโดยสั่งสาวคนรักว่าอย่าลืมตาขึ้นมาดูในตอนเช้าที่เขาจำเป็นจะต้องจากไปถ้าไม่เชื่อก็จะไม่ได้เห็นเขาอีก แล้ววันหนึ่งตามประสาผู้หญิงที่อยากรู้เธอก็ลืมตาขึ้นดูในตอนที่คิวปิดกางปีกจะโบยบิน เมื่อเทพคิวปิดเห็นเช่นนั้นก็บอกเธอว่า....ความรักนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ถ้าแค่การทดลองใจแค่นี้ไม่สามารถทำได้แล้ว เรื่องที่ใหญ่กว่านี้ก็คงจะไม่ไว้วางใจเช่นกันซึ่งก็จะทำลายความรักความผูกพันของคนรักไปหมด ด้วยเหตุนี้เมื่อความระแวงเข้ามาทางประตู “ความรักก็จะโบยบินออกไปทางหน้าต่างเสมอ”
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เหมือนชักแม่น้ำทั้ง 5 ให้เห็นความสำคัญของความไว้วางใจซึ่งกันและกันอันเป็นรากฐานของการมีชีวิตคู่ที่มีความสุข เพราะแค่ความไว้วางใจกันเท่านั้นความวิตกกังวลต่างๆ ก็จะหายไปหมดทำให้จิตใจผ่องใสเบิกบานคนที่อยู่ใกล้ก็จะเกิดความสบายใจตามไป เรื่องนี้ก็มักจะมีคำถามว่า “แล้วยุคนี้จะให้ไว้วางใจได้อย่างไร ในเมื่อมีตัวอย่างที่ไม่ดีให้เห็นเป็นประจำ” แต่เราลืมไปไหมว่าในความเป็นจริงนั้นไม่เคยมีข่าวดีให้ได้รับรู้เลยในสังคม แต่การที่ไม่มีเรื่องดีๆนั้นไม่ได้หมายความว่าในโลกนี้จะไม่มีคนดี และเรื่องดีๆ เพียงแต่จุดอ่อนของมนุษย์เรานั้นขี้อิจฉา และขี้ระแวง เขาก็เลยเอาเรื่องที่เราอยากรู้อยากเห็นมาให้เราได้รู้ได้เห็น ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วคนดีๆ เรื่องดีๆ ก็มีอีกมากมาย แต่ไม่ค่อยเผยแพร่หรือเล่าสู่กันฟัง ชีวิตก้เลยจมอยู่แต่ความทุกข์ ความหวาดระแวงแคลงใจกัน
อยากจะบอกว่า.....เวลาจะเลือกคู่นั้นให้เปิดตากว้างๆ เลือกนานๆ ก็จะมองเห็นว่าคู่ที่เลือกนั้นเป็นคนที่เหมาะสมกับเราไหม เราชอบมองหาแค่ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี แต่เราไม่เคยถามตัวเองเลยว่าที่หามาได้นั้น "เหมาะแก่เราไหม" และแท้ที่จริงแล้วในคนๆ หนึ่งนั้นก็ย่อมจะมี......ทั้งดี และเลวอยู่ในตัวคนเดียว เพียงแต่คนนั้นจะแสดงออกมาในรูปแบบใดเท่านั้นเอง และส่วนใหญ่ภาพที่เห็นก็มักจะไม่ค่อยเป็นจริงเสมอไป เช่นคนที่น่ารักอาจจะไม่เจ้าชู้ แต่คนเจ้าชู้นั้นบางครั้งก็ไม่น่ารัก
แปลกแต่จริงที่คนที่น่ารักนั้นจะทำให้เราไว้วางใจเสมอ ดังนั้นก่อนที่จะอยู่กับใครสักคนด้วยการตั้งความหวังว่าจะครองคู่ให้นานๆ ก็ต้องดูให้ได้ว่า ไว้ใจได้ และเมื่อหาได้แล้ว ก็ต้องไว้ใจให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะมีแต่ความหวาดระแวงไปในทุกเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ลองนึกดูว่าถ้าสามีเป็นสูติแพทย์ที่คนที่ติดต่อมีแต่ผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นพยาบาลหรือคนไข้ และต้องออกจากบ้านไม่เป็นเวลาและกลับบ้านไม่เป็นเวลา แถมบางครั้งนัดกันไว้ก้อาจถูกบอกเลิกกระทันหัน ใครที่ทำใจไว้ใจไม่ได้แล้วต้องเป็นภรรยาหมอสูติก็เห็นจบลงที่การแยกทางกันแทบทั้งสิ้น
หรือถ้าชายหนู่มคนหนึ่งไปได้ภรรยาเป็นสาวแสนสวยที่มีการงานที่ยุ่งมาก และต้องติดต่อกับผู้ชายที่เป็นลูกค้ามากหน้าหลายตาแล้ว สามีจะทำใจอย่างไรไม่ให้หวาดระแวง ถ้าทำไม่ได้ก้ต้องเกิดการวิวาทกันแน่นอน และนำไปสู่การแยกทางกันเช่นกัน
รู้แบบนี้แล้วก็.....ไว้ใจกันจะดีกว่า
3 ต.ค. 2567
4 ก.ย. 2567
27 ก.ย. 2567
26 ส.ค. 2567