Last updated: 23 มิ.ย. 2562 |
สวัสดีเดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรักที่หลายๆคนรอคอยค่ะ วันแห่งความรักที่หลายๆคนคุ้นเคยทั้งเป็นผู้รับและผู้ให้ ส่งต่อช่อดอกไม้ การ์ด หรือของขวัญที่แสดงความรักและความห่วงใยที่มีต่อกัน แม่ป่านเชื่อว่าสำหรับคุณพ่อคุณแม่ก็ล้วนแล้วแต่เคยผ่านช่วงเวลาอันแสนสุขที่ทำให้หัวใจพองโตเหล่านั้นมาแล้วทุกคน (ไม่มากก็น้อยใช่ไหมคะ... ) แต่บทความนี้แม่ป่านอยากจะมาพูดถึง “คุณแม่ได้หันกลับมารักตัวเองบ้างหรือยัง?”
คุณแม่ร้อยทั้งร้อย เมื่อได้เป็นแม่คนแล้วเชื่อว่าในทุกห้วงของความคิดจะมีแต่ลูก ลูก ลูก และลูก ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เวลาไหน ที่ใด ..แน่นอนว่าการที่พวกเราเหล่าคุณแม่ทุ่มเทดูแลลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพนั้นทำให้คุณแม่อาจจะ “ละเลย” ที่จะดูแลตัวเอง พูดง่ายๆก็คือ “ลืมที่จะให้ความรักตัวเองบ้าง”
การที่เราต้องเจออะไรแบบนี้ซ้ำๆทุกวัน เคยไหมคะที่รู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ รู้สึกเบื่อและเครียด การเป็นแม่คนนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ กว่าจะผ่านไปแต่ละวันเล่นเอาหมดพลังทีเดียวค่ะ
เคยได้ยินเพลงนี้หรือไม่ และเห็นด้วยไหมคะ
“ถ้าเธอไม่รักตัวเอง ไม่เคยดูแลแม้ตัวเอง แล้วเธอจะรักฉันยังไง .. ถ้าเธอไม่รักตัวเองทำตัวไม่มีคุณค่าใด ก็แล้วใครจะรักเธอ...” โอโห วันนี้มาเป็นเพลงทีเดียวค่ะ (เพลงบ่งบอกอายุจริงๆ)
แม่ป่านเชื่อว่าหากเรามีพลังบวกเราจะสามารถทำอะไรดีดีได้อีกมากมาย แต่เมื่อไหร่เราถูกความเหนื่อยล้าและพลังลบๆเข้าครอบงำ เราจะไม่สามารถทำสิ่งต่างๆได้ดีเท่าที่เราตั้งใจไว้ ..การเลี้ยงลูกก็เช่นกัน หากคุณแม่ไม่ได้มีเวลาพักผ่อนหรือดูแลตัวเองบ้าง อาจจะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ และอาจทำให้ส่งผลต่อคุณภาพในการเลี้ยงดูลูกในที่สุดค่ะ
ยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงของตัวเองเลยค่ะ แม่ป่านเป็นแม่เต็มเวลาที่ตอนนี้เริ่มทำงานบ้างในเวลาหลังลูกเข้านอนตอนกลางคืน เวลากลางวันนั้นเราให้ลูกเต็มที่ ด้วยความที่เรามีลูกชายสองคนที่อยู่ในวัยกำลังซน(มาก) พลังในแต่ละวันของแม่ป่านแทบไม่เหลือ เวลาจะกิน จะนอน จะพักผ่อน หรือสรรหาอะไรที่ตัวเองชอบนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ... หากยังมองไม่เห็นภาพ ลองจินตนาการนึกถึงคุณแม่ที่ใส่ชุดนอนลากยาวตั้งแต่คืนก่อนไปจนถึงอีกคืนหนึ่งกว่าจะได้อาบน้ำ (วันไหนโชคดีก็ได้แว้บอาบน้ำไปตอนบ่ายๆ อ้อ ต้องเรียกว่า “วิ่งผ่านน้ำ” น่าจะเหมาะกว่าค่ะ การได้ปลอบประโลมผิว,การหมักผม หรือการอบผมที่ต้องใช้เวลานานๆนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว ...หลายๆครั้งที่ลืมสระผม เพราะมัดจุกอย่างเดียวทั้งวัน (ทรงมาตรฐานของมนุษย์แม่) ตกกลางคืนกว่าจะได้อาบน้ำก็รู้สึกเย็นจนขี้เกียจที่จะสระผม รู้ตัวอีกทีก็ผมมันและเริ่มมีกลิ่นก็ถึงบางอ้อ..โอ้ เรายังไม่ได้สระผมเลย กี่วันแล้วเนี่ย! แล้วก็ผลัดวันประกันพรุ่งเรื่อยๆจนถึงจุดที่รับไม่ได้แล้วถึงหาเวลาสระผมให้ตัวเอง ทั้งๆที่เมื่อก่อนจะมีลูกนั้น การสระผม หมักผม และอบไอน้ำเป็นอะไรที่เราได้ดูแลตัวเองเป็นประจำ
คิดแล้วก็แอบขำปนเครียดนะคะ ... เราเอาเวลาไปให้ลูกจนหมด วนๆซ้ำๆอยู่แบบนี้ทุกวัน ทุกเดือน เป็นปีๆ ..จนความเครียดมันสะสม และเริ่มแสดงออกมาให้เราได้รู้ตัวบ้าง ไม่ว่าจะเป็นริ้วร้อยบนใบหน้า ไม่อยากพูดว่าเป็นรอยตีนกาเลยมันเจ็บปวดเหลือเกินค่ะ หรือจะเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน (โดยเฉพาะน้ำหนักที่ได้แถมมาจากการอุ้มท้องลูกทั้งสอง)
จากสาวน้อยสูง 171 น้ำหนัก 47 KG เอว 26 ใส่เสื้อผ้าไซส์ XS หรือ S ใส่อะไรก็สวย มาเป็นคุณแม่พุงย้อย น้ำหนักเกือบ 60 KG ที่ต้องหาเสื้อผ้าไซส์ L มาสวมใส่ ใส่อะไรก็คับ โดยเฉพาะกางเกง
..การเปลี่ยนแปลง(ในทางที่แย่ลง) เหล่านี้เริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะ “การเปลี่ยนแปลงของสุขภาพ” จากที่เมื่อก่อนแข็งแรงสุขภาพดีไม่เจ็บไม่ป่วยเป็นปีๆ แม้แต่หวัดก็ไม่เคยได้กร้ำกรายเข้ามาในร่างกายของชั้น แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเจ็บป่วยบ่อยเป็นว่าเล่น เป็นหวัดซ้ำๆ รู้สึกอ่อนเพลีย และเหนื่อยง่ายเอามากๆเลยค่ะ
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะคุณแม่อย่างพวกเราละเลยที่จะดูแลตัวเองไปเยอะทีเดียว ก็ใช่สินะ เราเอาแต่เวลาไปดูแลลูกๆ ดูแลสามีและครอบครัวหมดแล้วแทบไม่เหลือให้ตัวเองเลย...
แม่ป่านจึงอยากให้โอกาสในเดือนแห่งความรักนี้มาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ “การหันมารักตัวเองของคุณแม่” กันค่ะ ว่าแต่เราจะทำอย่างไรได้บ้าง? แม่ป่านมีเคล็ดลับดีดีที่ลองทำกับตัวเองและได้ผลมาฝากกันค่ะ
“การหันกลับมารักตัวเองของคุณแม่” อาจจะเริ่มจากการลองย้อนกลับมามองดูตัวเอง ลองหลับตานึกดูว่า เราชอบทำอะไร และมีความสุขเวลาทำสิ่งไหนบ้าง และเริ่มต้นเติมเต็มความสุขให้กับตัวเองจากตรงนั้น ยกตัวอย่างเช่น คุณแม่ชอบอ่านหนังสือ ฟังเพลงเบาๆก่อนนอน ก็หาเวลาทำอะไรที่ชอบบ้าง
ไม่มีคำว่า “ไม่มีเวลา” มีแต่ “เราให้เวลาและความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่า” เหมือนข้ออ้างที่หลายคนบอกว่าได้ออกกำลังกายเพราะไม่มีเวลา (แม่ป่านเองก็ใช้ข้ออ้างนี้ออกจะบ่อยค่ะ ฮ่าๆ) แม่ป่านลองมาสังเกตดูนะคะ ว่าเราไม่มีเวลาจริงๆหรือ? จริงๆเวลาถ้าจะแบ่งมาออกกำลังกายมีเยอะแยะเลย เช่นตอนเช้าและเย็นที่เราพาลูกออกไปวิ่งเล่นปั่นจักรยาน เราสามารถคว้ารองเท้าวิ่งออกไปวิ่งกับลูกได้ ออกท่าทางบริหารร่างกายระหว่างที่ดูแลลูกได้ (จากเดิมยืนดูลูกเฉยๆ) หรือถ้าใครโชคดีมีคนช่วยดูแลลูกให้(เวลาแค่ 1-2 ชั่วโมงก็มากพอ) ที่จะได้ออกไปฟิตเนสเป็นเรื่องเป็นราวก็จะดีมากๆเลยค่ะ .. จากประสบการณ์ตรงเวลาสามีได้หยุดก็จะช่วยดูแลลูกให้และบอกให้เราออกไปทำอะไรที่เราชอบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะรู้สึกว่าอยากใช้เวลาอยู่กับสามีและลูกมากกว่า มันจะจบแบบนี้ทุกครั้งเลยค่ะ ... จนตอนนี้รู้สึกว่าเราจะต้องขอเวลาเบรคให้กับตัวเองที่จะได้ให้กับตัวเองจริงๆจังๆบ้างแล้วนะ อาทิตย์หนึ่งสัก 2 วัน ครั้งละ 2-4 ชั่วโมงที่จะได้อยู่กับตัวเองบ้าง ลองดูนะคะมันช่วย refresh ความสดชื่นให้ชีวิตได้มากจริงๆ (แล้วก็กลับไปกอดลูกกอดสามีเหมือนเช่นเดิม)
หากิจกรรมหรือสิ่งปลอบประโลมใจง่ายๆที่ทำได้ที่บ้าน ..เชื่อค่ะว่าผ่านข้อ 2 มาแล้วหลายๆคนก็บอก “เราไม่มีเวลาจริงๆนี่หน่า” เข้าใจเลยค่ะ งั้นแม่ป่านขอเสนออีกทางเลือกหนึ่ง เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆที่คุณแม่สามารถทำได้ที่บ้าน ...เช่น สรรหาครีมบำรุงผิว เซรั่มบำรุงรอบดวงตาดีๆที่เราชอบแช่ในตู้เย็น นำออกมาทาก่อนนอน เพิ่มความสดชื่นมากมายได้ความสวยในวัยสาวกลับคืนมา (นิดนึง) , หรือจะเลือกครีมอาบน้ำที่มีกลิ่นหอม โดยเฉพาะแบบ Aroma Therapy เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ โรสแมรี่ ส้ม วานิลลา หรือมินต์ แม่ป่านจะเลือกไว้หลายๆกลิ่นให้ตัวเองได้เลือกตามใจชอบ ในแต่ละวันก็จะได้ลองอาบน้ำกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป รู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้ไปนวดอโรมาไปอีกแบบ ดีจริงๆนะคะอยากให้ลองดู หรือ เอาเท้าแช่น้ำอุน และ นอนแช่น้ำอุ่นเปิดเพลงคลอเบาๆ (ซึ่งเราสามารถทำได้ทุกสิ่งเมื่อลูกหลับแล้ว และไม่ตื่นมาร้องกวนนะคะ เป็นเวลาคุณภาพให้ตัวเองจริงๆ )
สรรหากิจกรรมใหม่ๆ บางทีกิจกรรมเดิมที่เราทำอาจจะซ้ำซากจำเจ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากเท่าเดิมอีกแล้ว การได้ลองทำอะไรใหม่ๆก็ทำให้หัวใจชุ่มชื้นได้ไม่น้อยค่ะ อยากเช่น ปลูกผัก, ปลูกต้นไม้, เลี้ยงปลา, นั่งสมาธิ, เข้าคลาสโยคะ และอื่นๆ
พาลูกออกไปนอกบ้านบ้าง บางทีอยู่แต่ในบ้านก็ทำให้รู้สึกเบื่อได้ค่ะ ยิ่งเวลารู้สึกว่าเราเหนื่อยจังเลยคงไม่มีแรงพาออกไปข้างนอกเพราะไม่มีใครช่วยดู ยิ่งต้องพยายามออกไป (เราจะรู้ตัวเองเองว่าลิมิตของเรามีแค่ไหน ถ้าเหนื่อยถึงขึ้นขับรถไม่ไหวก็ควรพักผ่อนอยู่บ้าน แต่ถ้ารู้ตัวว่าเรายังไหว ออกไปข้างนอกนิดหน่อยจะเป็นไรไป จริงไหมคะ?) ตัวอย่างเช่น พาลูกออกไปเล่น playground หรือร้านอาหารที่เป็น kids friendly มีลานกว้างๆและเครื่องเล่นให้เด็กๆได้เล่นระหว่างที่แม่อย่างเราได้มีโอกาสนั่งทานอาหารที่อยากทานบ้าง (แม้จะแค่ช่วงเวลาแป้บๆ แล้วต้องลุกไปยืนดูลูกก็ตาม) หรือออกไปร่วมกิจกรรมกับคุณพ่อคุณที่รวมกลุ่มกันพาลูกไปเที่ยว หรือนัดพบ จากประสบการณ์จะทำให้คุณแม่มีเพื่อนคุย มีกิจกรรมใหม่ๆที่ได้ลองทำที่ทำให้มีความรู้สึกดีสดชื่นขึ้น และรู้สึกว่าได้เติมพลังให้กับตัวเองก่อนกลับบ้านค่ะ (ลูกก็สนุกได้เพื่อนใหม่อีกด้วยนะคะ)
สุดท้ายแล้วสิ่งหนึ่งที่ลองทำแล้วได้ผล คือ “การลดความคาดหวังของตัวเองลง” เราไม่สามารถทำให้สมบูรณ์แบบในทุกๆเรื่อง มีผิดพลาดบ้าง แต่เราสามารถเริ่มใหม่ได้ การวางความรู้สึกของตัวเองแบบนี้เวลาเลี้ยงลูกจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขในการเลี้ยงลูกมากขึ้นค่ะ
เป็นยังไงบ้างคะคุณแม่ที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว อยากลุกขึ้นไปทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างหรือยัง ใครออกไปทำกิจกรรมอะไรบ้างมาแชร์กันที่เพจ “เลี้ยงลูกอย่างมีความสุข” ได้นะคะ เผื่อเป็นไอเดียให้คุณแม่ท่านอื่นๆด้วยค่ะ
การที่เราได้มีเวลาเพื่ออยู่กับตัวเอง ทำสิ่งที่เราชอบบ้างมันไม่ได้หมายความว่าเรานั้นละเลยหน้าที่ของแม่ไปเลยนะคะ แต่เราขอเวลาแค่สักนิดหน่อย (เทียบไม่ได้เลยกับเวลาที่เราทุ่มเทให้ลูก) เพื่อที่จะขอมาดูแลและให้ความสุขเล็กๆน้อยๆกับตัวเองบ้าง เพราะแม่ป่านเชื่อว่าเมื่อไหร่ที่แม่มีความสุข แม่จะสามารถส่งต่อความสุขนั้นไปยังลูก และแน่นอนว่าลูกก็จะสามารถรับรู้และรับพลังงานบวกนั้นกลับไปด้วยค่ะ ..Happy Valentine’s Day ขอให้มีความสุขกับเดือนแห่งความรักนี้ และมีความสุขเช่นนี้ตลอดไปนะคะคุณแม่ทุกๆท่าน
ด้วยความปราถนาดีจากใจ
แม่ป่าน เพจเลี้ยงลูกอย่างมีความสุข
...ที่ตอนนี้ได้หันกลับมาดูแลตัวเอง และมีความสุขมากขึ้นกับการเลี้ยงลูก จึงมาแชร์ประสบการณ์นี้ให้คุณแม่ได้อ่านกันค่ะ ^^)
25 ต.ค. 2567
4 พ.ย. 2567
25 พ.ย. 2567