Last updated: 23 มิ.ย. 2562 |
ความรัก.....
นั้นเป็นสิ่งที่ดีงามและดำรงคงอยู่มาในทุกยุคทุกสมัย เป็นการมองเห็นความดีของกันและกัน เกิดความเมตตาอยากให้คนที่รักเป็นสุข พยายามที่จะทำให้คนรักของเราพ้นทุกข์ และเกิดความอิ่มเอิบยินดีเมื่อคนที่เรารักมีความสุขไม่ว่าเขาจะมีความสุขเองหรือเราช่วยทำให้เขามีความสุข เมื่อมี “ความรัก” เกิดขึ้นแล้วคนที่มีความรักที่แท้จริงจึงไม่เห็นแก่ตัวแต่เห็นความสุขของคนที่เรารักมากกว่า
แต่ “ความใคร่” นั้นเป็น “ความอยาก” อยากมี อยากได้ เป็น “ความเห็นแก่ตัว” ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วน่าจะแยกออกได้จาก “ความรัก” แต่ในสังคมของเรานั้นชอบที่จะรวมเอาความดี และความไม่ดีมารวมกันเช่น “หลงรัก” “รักใคร่” เป็นต้นซึ่งก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมของเรานั้นมักจะสับสนในเรื่องของความดีและความเลว ทั้งที่ในความเป็นจริงของธรรมชาตินั้นเราน่าจะแยกให้ออกระหว่างความดีและความเลว รวมทั้งความรักและความใคร่
แต่เมื่อเราแยกไม่ออกหรืออาจจะไม่อยากแยกก็ไม่รู้เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขในท่ามกลางความไม่เหมือนของ “ความรัก”และ “ความใคร่” และพยายามทำให้ความรักยังคงดำรงอยู่ แต่ทำให้ความใคร่หรือความอยากนั้นลดลง พูดง่ายๆ ก็คือทำให้คนเราเห็นแก่ตัวน้อยลง และเห็นแก่คนที่เรารักมากขึ้น เราก็จะมีสัมพันธภาพที่ดีงามกับคนที่เรารัก และสามารถที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับคนรอบข้างเราอย่างมีความสุขด้วยการให้ความรักแก่กันและกัน
ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องมาปุจฉา วิสัชนาเรื่องของความรัก และความใคร่ที่ได้กล่าวแล้วว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามที่เราจะต้องให้ดำรงอยุ่เสมอ และถ้าสามารถที่จะทำให้คนเราเข้าใจในความรักได้อย่างถูกต้องแล้ว คนเราก็จะลดความใคร่ ความอยากลงไปได้ไม่มากก็น้อย
เนื่องจากเป็นคอลัมน์เกี่ยวกับสัมพันธภาพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต จึงอยากจะเสนอมุมมองใหม่ในเรื่องของความใคร่ที่เรียกว่าเป็นความอยากนั้นให้มีการแสดงออกในทางบวกดู
การมองอะไรในทางบวกนั้นนอกจากจะทำให้ชีวิตของเราเป็นสุขแล้วยังทำให้คนที่เรารักเป็นสุขด้วย ในเรื่องของการแสดงความรักด้วยภาษษกายนั้นที่คนเราเรียกกันสั้นๆว่า “เซ็กส์” ถ้ามองในทางลบเราก็เรียกว่า “ความใคร่” แต่ถ้ามองในทางบวกเราก็เรียกว่า “ร่วมรัก” ดังนั้นกิจกรรมดังกล่าวนี้ถ้าทั้งสองฝ่ายมีการแสดงออกในทางที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในอันที่จะนำความสุขมามอบให้แก่กันแล้ว จนเกิดความสุขสมร่วมกัน กิจกรรมที่ได้กระทำกกันนั้นก็จะเป็นสายใยแห่งรักที่มองไม่เห็นแต่จับต้องได้ที่จะทำให้ทั้งสองผูกพันรักใคร่กันตลอดไป แต่ถ้าการมีกิจกรรมดังกล่าวนั้นเป็นการแสดงหาความสุขอยู่ข้างเดียวโดยไม่ได้สนใจในอารมณ์ความรู้สึกของคนที่มีกิจกรรมด้วยแล้วนั่นก็ไม่ได้เป้นการแสดงความรัก และผลที่ตามมาก็คือความอยากที่จะหาความสุขใส่ตัวก้จะต้องจบลงด้วยสัมพันธภาพที่ไม่ราบรื่นต่อไป
ความรัก ความใคร่จึงต้องมีการสมานกันอย่างกลมเกลียวเพื่อที่จะได้นำเอาสิ่งที่ดีในการแสดงออกมามอบให้คนที่เรารักและมีความสุขสมร่วมกันจากบทพิศวาสที่เป็นการแสดงออกของความรักด้วยภาษากายนั่นเอง
เมื่อเป็นดังนี้แล้วความรักและความใคร่ก็จะหลอมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว เพื่อสัมพันธภาพที่ยืนยาว และมั่นคง
25 พ.ย. 2567
4 พ.ย. 2567
25 ต.ค. 2567