คลอดเลยกำหนด.. เปิดบันทึกความรู้สึกของคุณแม่ผู้เฝ้ารอ

Last updated: 23 มิ.ย. 2562  | 

คุณแม่แทบทุกรายมักจะกล่าวตรงกันว่า ช่วงเวลาก่อนคลอด เป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ เฉกเช่นเดียวกับ เคเรน พาสคลอลี โจนส์ หลังไปฝากครรภ์ครั้งล่าสุดในขณะที่เธอมีอายุครรภ์ 38 สัปดาห์ คุณหมอบอกกับเธอว่า อีกเพียงแค่ 2 สัปดาห์เธอก็จะคลอดแล้ว ความรู้สึก ณ ขณะที่ได้ยินว่าลูกของเธอกำลังจะเกิดแล้ว มันคือความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ อบอุ่น และมั่นคง ระคนกับความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของร่างกาย แต่จนแล้วจนรอด เกมแห่งการรอคอยที่เริ่มต้นขึ้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ เคเรน ต้องอุ้มท้องเลยกำหนดคลอดต่อไปอีก ถึง 4 สัปดาห์ เคเรน ได้บันทึกเรื่องราวที่ไม่เคยธรรมดาสำหรับชีวิตเธอเอาไว้ เรามาเปิดอ่านบันทึกของเธอกันค่ะ แล้วคุณจะรู้ว่า ความรู้สึกของคนที่กำลังจะเป็นแม่นั้น ยิ่งใหญ่สักเพียงไหน

สัปดาห์ที่ 38
แม้จะคุ้นเคยดีกับความรู้สึกตื่นใจแบบแปลกๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้ข่าวว่าแม่กำลังจะมีลูก แต่วันนี้แม่ก็ยังอดรู้สึกหวั่นไหวกับเกมการรอคอยนี้ไม่ได้ แม่และพ่อรู้ดีว่าลูกเป็นผู้ชายตั้งแต่ในช่วงสัปดาห์ต้นๆ ที่ลูกมาเกิดแล้วล่ะ พวกเราตั้งชื่อให้ลูกว่า “เดเมททรีโอ” และได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับลูกไว้ครบถ้วนแล้ว สิ่งของที่จะต้องเตรียมไว้สำหรับการไปคลอดที่โรงพยาบาล แม่ก็เตรียมไว้แล้ว ส่วนพ่อเองก็ตระเตรียมเส้นทางที่จะเดินทางไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดไว้ 2 เส้นทาง พ่อจะเติมน้ำมันรถไว้เต็มสองถังเสมอ แต่แม่ก็ยังเตรียมใจเผื่อว่าช่วงเวลาที่ลูกจะเกิด พ่อเกิดติดงานและไม่สามารถไปส่งพวกเราได้ แม่กับหนูจะไปแท็กซี่กันเอง แม่หยิบเครื่องมือบรรเทาปวด “TENS” มาวางไว้ในที่ๆ หยิบฉวยได้ง่าย และในแต่ละวันแม่พยายามนึกทบทวนคำแนะนำที่ได้รับจากการไปเข้าครอสก่อนคลอดจากทางโรงพยาบาลมาทุกวัน แม่จะสำรวจตัวเองดูว่ามีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่าเวลาคลอดใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววอะไร ยายของลูกบอกกับแม่ว่า ชาวอิตาเลียนเชื่อกันว่า ผู้หญิงใกล้คลอดจะมีริมฝีปากบวม ท่านจึงชอบชำเลืองมองมาที่ปากของแม่บ่อยๆ 

วันแรกของสัปดาห์:  ยายพูดกับแม่อย่างตื่นเต้นว่า เช้าวันนี้ มีผีเสื้อบินเข้ามาเกาะที่อกของท่าน คุณยายบอกว่าในอิตาลี เราเชื่อกันว่า ลูกจะคลอดภายในวันนี้

วันที่สอง:  วันนี้ แม่ไปพบคุณหมอมา คุณหมอบอกว่าตอนนี้ลูกหนักประมาณ 8 ปอนด์ ซึ่งมันเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่รู้สึกเจ็บที่ชายโครง คุณหมอยังบอกอีกว่าไหล่ของลูกกว้าง และยืดช่วงกระดูกเชิงกรานของแม่ ทำให้ส่วนหัวของลูกไหลลงมาที่อุ้งเชิงกรานแล้ว

วันที่สาม:  วันนี้ แม่นอนเอาแรงทั้งวัน เพราะตอนเย็นมีนัดกับเพื่อนจอมซ่าส์ ทั้งแก๊งค์เอาแต่แซวเรื่องท้องของแม่ที่ใหญ่โย้ออกมา ก่อนเข้านอนแม่รู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณหลังกระตุกแปลกๆ หรือว่านี่เป็นสัญญาณว่าลูกของแม่จะคลอดแล้ว? แต่ไม่นานอาการกระตุกแปลกๆ นี้ ก็ค่อยๆ เลือนหายไป แม่นอนจับความรู้สึกนี้อยู่นาน ก่อนที่จะสรุปได้ในตอนท้ายว่าเป็นอาการดิ้นของลูก ในที่สุดแม่ก็ผล่อยหลับไปพร้อมกับความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่รู้ว่าอาการกระตุกแปลกๆ นี้ไม่ใช่สัญญาณเตือนใกล้คลอด 

วันที่สี่:  แม่เลิกคิดกังวลถึงวันคลอดที่ใกล้จะถึงนี้แล้วล่ะ และหันมาคิดถึงแต่วันคืนดีๆ ที่แม่มีหนูอยู่ในท้อง ที่ผ่านมาแม่อาจมีอารมณ์แปรปรวน และรู้สึกตึงเครียดเกี่ยวกับตัวหนูอยู่บ้าง นั่นเพราะวัยของแม่ใครๆ ก็บอกว่าน่าจะมีลูกยาก แต่แม่ก็โชคดีที่หนูเกิดมาเป็นลูกของแม่

วันที่ห้า:  ยิ่งใกล้ถึงวันคลอด เสียงโทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้นแทบไม่ขาดสาย และทุกครั้งที่รับขึ้นมา ทุกคนจะคุยถึงแต่เรื่องการคลอดที่ใกล้จะถึงเหมือนกันหมด แม่รู้ดีจ๊ะ.. ว่าทุกคนเป็นห่วงเราสองคนแม่ลูก แต่บทสนทนาเหล่านั้น ช่างปั่นป่วนความรู้สึกหวาดหวั่นของแม่เหลือเกิน ลูกคงไม่โกรธนะ ถ้าแม่จะยกสายออกสักพัก

วันที่หก:  วันหนึ่งๆ แม่ได้รับอีเมลล์ 10 ฉบับต่อวันได้มั้ง ใจความก็คล้ายๆ กับที่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์ เพื่อนร่วมครอสอบรม Active Birth class เมลล์มาคุยกับแม่ด้วย มี 3 รายที่คลอดแล้ว ทั้งสามได้ลูกผู้ชายเหมือนกันหมด คนหนึ่งผ่าท้องคลอดที่โรงพยาบาล อีกคนที่ห้องน้ำในโรงพยาบาล ส่วนอีกคนคลอดโดยธรรมชาติในห้องคลอด มันทำให้แม่อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่หนูจะคลอดออกมา

 
สัปดาห์ที่ 39
ท้องของแม่ใหญ่ออกมามาก ดูๆ แล้วก็ตลกดี ท้องโย้จนชายกระโปรงชุดคลุมท้องกระดกขึ้นมา แต่แม่ก็ไม่คิดที่จะซื้อชุดใหม่จนกว่าจะคลอดหนูออกมา ตอนนี้แม่ไม่มีใจที่จะคิดหาซื้อข้าวของเครื่องใช้สำหรับตัวเอง เพราะแต่ละชิ้นราคาแพงเหลือเกิน แม่อยากเก็บเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายให้กับหนูมากกว่า แม่ตั้งใจที่จะเป็นคุณแม่หุ่นดี ถึงแม้แม่จะชอบช่วงเวลาของการอุ้มท้องลูก แต่มันก็ทำให้แม่ขยับเขยื้อนตัวได้ลำบากเหลือเกิน แม่ใจเสียทุกครั้งที่ขึ้นตาชั่งเพื่อเช็กน้ำหนักตัวเองดู ตอนนี้แม่มีน้ำหนักมากกว่าพ่อของลูกอีกแน่ะ

วันแรกของสัปดาห์:  แม่ยังคงมีกิจกรรมเช่นทุกวัน เดินเล่น ว่ายน้ำ รับโทรศัพท์ และรอคอยลูก พ่อกับแม่ มักจะนั่งคุยกันเกี่ยวกับลูก ทุกสิ่งที่เราจะทำให้ลูก และเป็นให้กับลูก พวกเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พูดคุยเกี่ยวกับลูก  แทนการพูดคุยในหัวข้อเรื่อยเปื่อยอย่าง “ลูกจะเกิดเมื่อไหร่” หรือ “วันนี้ อาการเป็นอย่างไรบ้าง” พวกเราจะคุยกันถึงอนาคตของลูก ลูกจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในวัยเตาะแตะ วัยรุ่น จนถึงวัยผู้ใหญ่ มันทำให้แม่รู้สึกผ่อนคลายจากความเบื่อหน่ายในแต่ละวัน


สัปดาห์ที่ 40 (ครบกำหนดคลอด)
หลายวันที่ผ่านไป โดยแม่ไม่ได้จดบันทึกอะไร แม่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการวางแผน การนัดหมาย และกินเลี้ยงกับครอบครัว และเพื่อนๆ จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามีหนู บางทีแม่อาจใช้ชีวิตแบบนี้อีกไม่ได้แน่ คุณแม่ลูกอ่อนหลายคน บอกกับแม่ว่า แม่ควรจะอยู่ตามลำพังคนเดียวในช่วงสุดท้ายของการอุ้มท้อง แต่แม่ก็ชอบที่จะเหน็ดเหนื่อยอยู่กับพวกเพื่อนๆ มากกว่า

วันที่สอง:  วันนี้แม่รู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ง่าย อย่างเรื่องที่ พ่อของลูกบอกไม่ให้แม่ทำอาหารเลี้ยงคุณยายวัย 82 ที่เดินทางมาเยี่ยมพวกเรา หรือเรื่องที่คุณหมอบอกว่า ลูกย้ายมาอยู่ทางด้านซ้าย คุณหมอขอให้แม่ออกกำลังกายโดยใช้ลูกบอลขนาดใหญ่เป็นอุปกรณ์ หรือที่เขาเรียกว่า “birthing ball” เพื่อให้ลูกย้ายกลับมาอยู่อีกด้านหนึ่ง แม่ไม่ได้เตรียมใจสำหรับคำบอกเล่าของคุณหมอ แต่ก็ถามท่านอยู่เหมือนกันว่า จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ หากแม่ยังไม่มีอาการเจ็บท้องคลอดในวันสองวันนี้ คุณหมอได้แต่บอกเพียงว่า หากภายในอาทิตย์หน้า แม่ยังไม่มีอาการเจ็บท้องคลอด ก็ให้กลับไปพบคุณหมออีกครั้ง บางที! แม่อาจต้องผ่าท้องคลอดก็ได้

พ่อตำหนิแม่ หาว่าแม่เป็นคนที่ทำให้ลูกไม่ได้อยู่ในท่าที่เหมาะสำหรับการคลอด พ่อดุแม่ว่า เอาแต่นอนขี้เกียจทั้งวัน และคิดแต่เรื่องร้ายๆ ตลอด แม่เลยต้องลุกขึ้นมาออกกำลังกายด้วยการเดินมาราธอนเพื่อหนู แม่พยายามบอกให้พ่อเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใคร และต้องมาถูกตำหนิอย่างรุนแรง พ่อกลับโทษว่า ฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปของแม่เป็นตัวที่ทำให้อารมณ์ของแม่แปรปรวน แม่จึงต้องเป็นฝ่ายเดินหนี พร้อมกับนึกสงสัยว่าก็เขาเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้ฉันท้อง จากนั้น บรรยากาศระหว่างเราคือความเฉยชา แม่สาบานเลยว่า จะไม่ยอมให้พ่อเข้ามาในห้องคลอดตอนที่แม่คลอดหนู แต่ยายก็เข้ามาพูดให้แม่อารมณ์เย็นลง

วันที่สาม:  อารมณ์โมโหร้ายของแม่หายไปเป็นปลิดทิ้ง เมื่อพ่อเข้ามาพูดคุย และชวนแม่ออกไปเดินออกกำลังกายด้านนอก ส่วนยายหลังตรวจดูขนาดริมฝีปากแม่ว่าบวมขึ้นหรือเปล่าแล้ว ก็ออกไปที่โบสถ์เพื่อหาดูฤกษ์วันดีๆ ที่หนูจะเกิดมา

วันที่ห้า:  อาหารที่แม่กินเข้าไปไม่ย่อย และทำให้รู้สึกแสบร้อนที่อกจนรู้สึกทรมานน่าดู แม่กินอาหารที่ยายทำให้ไม่ได้เลย คุณยายเลยต้องทำซุปมะเขือเทศให้ใหม่


สัปดาห์ที่ 41
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ยังไม่มีวี่แววของสัญญาณการเกิดของหนู แม่กับพ่อจึงตัดสินใจไปพบคุณหมออีกครั้ง คุณหมอแนะนำว่าการบีบหัวนมเพื่อไล่ให้ออกซิโทซินไหลออกมา หรือการมีเพศสัมพันธ์จะช่วยเร่งให้เกิดการคลอดโดยธรรมชาติได้ เนื่องจาก ภายในเชื้ออสุจิจะมีสารชนิดหนึ่งที่สูติแพทย์ใช้ในการกระตุ้นมดลูกให้เกิดการบีบตัวเพื่อเร่งให้เกิดการคลอดตามธรรมชาติ

แม่ตัดสินใจใช้วิธีที่คุณหมอแนะนำ แม้ว่าแม่กับพ่อจะรู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องใช้วิธีนี้ในการทำให้ลูกคลอดออกมาก็ตาม ก็ท้องของแม่ใหญ่ขนาดนี้ เคลื่อนย้ายตัวก็แทบจะลำบาก ที่สำคัญตอนนี้แม่ไม่ได้มีรูปร่างที่ยั่วยวนใจพ่อเลยสักนิด พ่อเองก็เห็นด้วยกับแม่ แต่เราสองคนก็ตัดสินใจที่จะทำ โดยหวังว่ามันจะทำให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูก และหนูจะคลอดออกมาได้

วันแรกของสัปดาห์:  ขณะที่วันเวลาผ่านไป แม่รู้สึกเหมือนกับตัวเองไม่ได้ท้องอีกแล้ว มันยากที่จะคิดว่าตัวเองกำลังจะมีลูก มันเหมือนกับว่าการมีลูกเป็นความฝันที่ยากจะเป็นจริง ทุกๆ วัน แม่จะได้รับอีเมลล์จากเพื่อนร่วมคลาสอบรม Active Birth พวกเขาเขียนมาเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นในห้องคลอดให้แม่รับรู้ คิดว่าแม่ คงจะเป็นคนสุดท้ายที่คลอดกระมัง แม่รู้สึกว่าการตั้งท้องครั้งนี้มันช่างแย่สิ้นดี

พ่อกับแม่แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เราสองคนกำลังจะได้เป็นพ่อแม่แล้ว ส่วนยายหลังจากที่ต้องรอคอยการเกิดของลูกในลอนดอนถึง 3 สัปดาห์ คุณยายถึงกลับถอดใจกลับไปรอลุ้นการเกิดของหลานชายของท่านที่อิตาลี แม่กำลังคิดเปลี่ยนใจอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับการใช้ยาเร่งให้ลูกคลอดออกมาให้เร็วขึ้น ผู้หญิงหลายคนผ่านความทรมานในช่วงเวลาของการคลอดโดยวิธีธรรมชาติ แต่สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีผ่าท้องคลอดแทน

แม่กลัวที่จะพบคุณหมอในวันพรุ่งนี้ แม่คงเป็นบ้าไปแน่ๆ ถ้าหากคุณหมอบอกให้แม่รอต่อไปอีก แต่ถ้าคุณหมอบอกให้แม่เลือกระหว่างการใช้ยาเร่งให้รกลอกตัวเร็วขึ้น กับการผ่าท้องคลอดล่ะ แม่จะตัดสินใจอย่างไรดี แม่จะรู้ได้อย่างไรว่าวิธีไหนเป็นหนทางที่ถูกต้องที่สุด ได้โปรดเถอะ! เดเมททรีโอ หนูรีบคลอดออกมาภายใน 24 ชั่วโมงนี้เถอะ แม่ไม่แคร์ว่าจะต้องทนเจ็บปวดสักแค่ไหน ขอเพียงให้ลูกคลอดออกมาได้เท่านั้นก็พอ

วันที่สอง: หมู่นี้ พ่อทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้พอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น วันนี้ช่วง 10.30 น. แม่ไปพบคุณหมอ และได้รู้ว่าปากช่องคลอดของแม่นุ่มลง และเปิดออกประมาณ 1 เซนติเมตรแล้ว  แต่มีภาวะความดันโลหิตสูง คุณหมอขอให้แม่อยู่โรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจเช็คหาอาการบ่งชี้ของโรคครรภ์เป็นพิษ หมอตรวจเช็คความดันเลือดของแม่ (ในที่สุดก็มีค่าคงที่) ตรวจดูอัตราการเต้นของหัวใจลูก (ซึ่งก็สมบูรณ์ดี) ตรวจปัสสาวะของแม่ (พบว่ามีโปรตีนอยู่) ผลการตรวจ รวมทั้งตัวอย่างเลือดถูกส่งไปตรวจสอบซ้ำอีกครั้งที่ห้องทดลอง หลังจากนั้นประมาณ 5 โมงเย็น หมอถึงปล่อยให้แม่กลับบ้านได้ โดยไม่ลืมที่จะกำชับว่าพรุ่งนี้ประมาณ 6.30 น. ให้แม่มาตามนัดด้วย 

กลับมาถึงบ้าน แม่ได้พบกับคุณอาเอ็นโซ่ ซึ่งเพิ่งบินมาถึงจากกรุงโรม อาเอ็นโซ่มองมาที่แม่ และบอกว่าแม่ใกล้จะคลอดแล้ว แม่ถามกลับไปว่า“รู้ได้อย่างไร” อาเอ็นโซ่บอกว่าเห็นริมฝีปากของแม่บวมขึ้นมา คืนนี้พ่อกับแม่มีความสัมพันธ์กันตามคำแนะนำของคุณหมอ มันดูฝืนๆ ชอบกล แต่เราก็ทำเพื่อกระตุ้นให้หนูได้คลอดเองตามธรรมชาติ บางทีความกังวลจากการที่ต้องใช้วิธีเร่งการลอกตัวของรก ทำให้แม่พลอยกลัวการเจ็บท้องคลอดไปด้วยก็ได้ 

วันที่สาม:  การได้รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องถูกให้ยาเร่งรกลอกตัว ทำให้แม่รู้สึกเหมือนซังกะตาย วันนี้แล้วซินะ ที่จะเป็นวันสุดท้ายของการใช้ชีวิตลำพัง นับจากวันนี้ไป แม่จะเป็น คุณแม่ที่มีลูกตัวน้อยๆ เข้ามาพัวพันในชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่ฝันมาตลอด 5 ปีเต็ม แต่ตอนนี้ แม่ต้องฟันฝ่าความเจ็บปวดที่เป็นอุปสรรคขวางหน้าอยู่ในขณะนี้ให้ได้เสียก่อน แม่แทบไม่อยากจะเชื่อเลย อีกไม่นานแม่ก็จะมีหนูอยู่ในอ้อมกอดแล้ว แม่ได้แต่ภาวนาของให้หนูมีสุขภาพแข็งแรงด้วยเถอะ

วันที่สี่:  เป็นวันที่แม่รู้สึกประสาทจะกิน ตื่นเต้นเป็นที่สุด เวลา 6.30 น. แม่ไปถึงห้องรอคลอดที่โรงพยาบาลรอยัล ลอนดอน แม่ถูกนำไปไว้ในห้องเล็กๆ คุณหมอเช็คความดันเลือด และอุณหภูมิร่างกายของแม่ และติดตั้งเครื่องมือสำหรับเช็คอัตราการเต้นของหัวใจลูก ทุกอย่างสมบูรณ์ดี คุณหมอสอด prostaglandin gel (มีลักษณะคล้ายวุ้น เป็นหัวเชื้อที่ทำปฏิกิริยาเช่นเดียวกับน้ำเชื้อของผู้ชาย) เข้าในช่องคลอดของแม่ คุณหมอบอกว่าให้ยาอย่างแรงขนาดนี้ น่าจะทำให้ร่างกายของแม่มีปฏิกิริยาอะไรบ้าง อย่างน้อยๆ ภายใน 6 ชั่วโมงหลังให้ยา มดลูกควรมีการหดตัวบ้าง

แม่รู้สึกว่าขั้นตอนต่างๆ ดูจะยุ่งยากยิ่งกว่าจะรู้สึกถึงความเจ็บปวด คุณหมอบอกว่าโดยปกติแล้ว เจลจะใช้ได้ผลกับทุกราย แต่บางทีแม่อาจจะเป็นกรณีพิเศษก็ได้ เพราะหลังจากสอดยาแล้ว แม่ถูกตรวจทุก 2-3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปากช่องคลอดของแม่ยังคงไม่เปิด เวลา 6 โมงเย็น แม่ตัดสินใจให้คุณหมอใช้ตัวยาชนิดใหม่ แต่ทุกอย่างก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตลอดคืนนั้น พ่อ และแม่ เฝ้าแต่รอคอย เราสองคนพลัดกันจ้องมองไปที่จอมิเตอร์เพื่อดูว่ามีสัญญาณของการหดรัดตัวที่มดลูกบ้างหรือเปล่า ขณะที่คุณหมอพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตรวจแม่ พร้อมกับพูดซ้ำๆ กันว่า “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” เวลาเที่ยงคืน คุณหมอที่เข้าเวรบอกกับพวกเราว่า พรุ่งนี้ คุณหมอจะให้ยาตัวใหม่เผื่ออาจจะโชคดีก็ได้

วันที่ห้า:  แม่รู้สึกกังวลจนหลับตาไม่ลง มาหลับเอาตอนเช้าได้ประมาณชั่วโมงเดียว คุณหมอก็เข้ามาสอดยาตัวใหม่ให้ตอนช่วง 10 โมงเช้า คุณหมอบอกว่า ขอเพียงแค่ปากช่องคลอดเปิดอีกสัก 2 เซนติเมตร คุณหมอก็สามารถที่จะกรีดฝีเย็บเพื่อช่วยให้ลูกคลอดออกมาได้แล้ว แต่ถ้ายาตัวใหม่นี้ยังไม่ได้ผล ก็คงต้องมาหาวิธีกันใหม่ล่ะ

พ่อกับแม่ต่างพลัดกันชำเลืองจอมอนิเตอร์ตลอดเวลา จนกระทั่งช่วงเย็น ขณะเรากำลังสิ้นหวัง แม่รู้สึกถึงการหดรัดตัวที่ท้อง แม่หันไปถามคุณหมอ และเห็นหมอพยักหน้ารับ อ้า.. ในที่สุดมดลูกก็หดตัวแล้ว แม่ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย กลับรู้สึกอิ่มเอิบใจมากกว่า แม่กำลังจะได้เห็นหน้าลูกแล้ว

แม่หันไปดูจอมอนิเตอร์ ภาพที่ปรากฏบอกว่ามดลูกหดตัวนานขึ้น และแรงขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็ยังแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด พ่อกับแม่นั่งคุยกันว่าลูกจะหน้าตาเหมือนใคร และเราจะรู้สึกกันอย่างไรเมื่อเห็นหน้าลูกครั้งแรก แม่บอกให้พ่อเช็คข้าวของเครื่องใช้สำหรับลูก พวกเราเตรียมชุดสำหรับให้ลูกใส่กลับบ้านเอาไว้ด้วย ตอนนี้ แม่รู้สึกสงบ ไม่ตื่นเต้น รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เจ็บปวด แม่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดูทีวี

วันที่หก:  พยาบาลเวรคนใหม่เข้ามาแนะนำตัว และตรวจร่างกายให้กับแม่ พร้อมกับตรวจเช็คที่จอมอนิเตอร์ และถามคำถามมากมาย หลังจากนั้นก็อ่านประวัติจากแฟ้มของแม่ และเงยหน้าขึ้นดูที่จอมอนิเตอร์อีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น แม่รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที พยาบาลบอกกับพ่อว่าจะไปตามหมอมา จากนั้น เธอก็เดินหายไป แม่หันไปมองพ่อ ในใจกังวลอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? สักพักคุณหมอก็เดินรี่เข้ามา และตรวจซ้ำอย่างที่พยาบาลตรวจก่อนหน้านี้ จากนั้น คุณหมอก็หันมาบอกพ่อกับแม่ว่า หัวใจของลูกเต้นเร็วขึ้นทุกครั้งที่มดลูกหดตัว หมออยากจะให้ผ่าท้องคลอดเดี๋ยวนั้นเลย เพราะปากมดลูกยังไม่เปิดดีนัก และแม่เองก็ไม่มีอาการเจ็บท้องคลอดเลย พ่อรีบตอบ “ตกลง” ในทันที ส่วนแม่ได้แต่พยักหน้างึกงัก จากนั้น ในห้องเต็มไปด้วยหมอ และพยาบาล พ่อปลีกตัวไปใส่ชุดปลอดเชื้อที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ ส่วนแม่ก็ถูกเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด แม่ไม่ได้ร้องไห้ หรือคร่ำครวญขอให้หมอช่วยชีวิตลูกเลย เพราะแม่มั่นใจเหลือเกินว่า ลูกของแม่ต้องปลอดภัย 

ในห้องฉุกเฉิน พ่อของลูกดูดีมาก เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงได้มาก พ่อพูดให้กำลังใจแม่ในขณะที่คุณหมอฉีดยาบล็อกหลังให้ แม่เริ่มรู้สึกชาตั้งแต่ขา ขึ้นมาที่ลำตัว จนถึงอก หน้าของพ่อเริ่มพล่ามัว แม่ไม่เห็นการผ่าตัดที่เกิดขึ้นบนตัวแม่ แต่รู้สึกถึงแรงดึง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเล็กๆ ของลูก แม่รู้ได้ในทันทีว่านั่งคือเสียงลมหายใจแรกของลูก คุณหมอนำลูกมาส่งให้แม่ พร้อมกับบอกว่า “ลูกของคุณครับ” แม่ได้เห็นหน้าลูกชายของแม่เป็นครั้งแรก เป็นช่วงเวลาที่วิเศษจริงๆ  ลูกคือคนที่แม่รอคอยนานถึง 42 สัปดาห์ ตอนนี้ แม่ได้เป็นแม่แล้ว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้