Last updated: 23 มิ.ย. 2562 |
เจเนอเรชั่นอัลฟ่า (Gen Alpha) หรือเด็กที่เกิดหลังปี พ.ศ.2553 ถึง 2568
เด็กเจนอัลฟ่าเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี ทำให้สามารถมองเห็นและรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ง่ายดาย แม้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจะช่วยอำนวยความสะดวกให้เด็กเจนนี้ แต่มันก็มาพร้อมผลเสียด้านพฤติกรรมและการเรียนรู้ของเด็กได้ด้วย ทำให้เกิดแนวทางของการเรียนรู้รูปแบบต่างๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ และ "การเข้าสังคมนอกจอ" ในชีวิตเด็กๆ มากขึ้น
1. ท่องเที่ยวแบบครอบครัว
พ่อแม่ที่มีลูกเจนอัลฟ่าจะเน้นกิจกรรมที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ให้กับเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ยุคนี้เริ่มมองหาการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับทั้งครอบครัว มีทริปครอบครัวจำนวนมากที่ "เริ่มต้นเดินทาง" จากความสนใจของเด็กๆ ที่สำคัญการได้พาลูกออกไปเที่ยวจะช่วยเว้นระยะจากเทคโนโลยี ลูกจะโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าหน้าจอ
2. เวิร์คช้อป
การให้เด็กได้ลอง ได้เล่น ได้ทำกิจกรรมใหม่ๆ ไม่จำกัดว่าจะอยู่ในกิจกรรมใด ล้วนนำไปสู่การเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะ ความสนุก ความสงสัย ใคร่รู้ และการค้นหาโลกของพวกเขาได้
3. โรงเรียนทางเลือก
พ่อแม่ของเด็กเจนอัลฟ่าควรเปลี่ยนทัศนคติค่านิยมและความเชื่อใหม่ให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไปของลูก และยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันที่เปิดกว้างขึ้นมากกว่าโลกที่เราเคยรู้จัก รวมถึงอาชีพที่เราเคยคิดว่าดีที่สุด มั่นคงที่สุด อาจไม่ใช่ความต้องการในอนาคตของเด็กเจนอัลฟ่า เพราะยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวไกลยังมีอาชีพเกิดใหม่อีกมากมาย ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ระบบโรงเรียนทางเลือกหรือโรงเรียนแบบทดลองที่ไร้กฎเกณฑ์ คือตัวอย่างใหม่ใน การเรียนรู้สำหรับเด็กๆ อย่างแนวทาง Micro School เช่น AltSchool สตาร์ทอัพด้านการศึกษาที่พัฒนาโมเดลการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์โปรแกรมการศึกษาของนักเรียนแต่ละคนตามความสนใจ
4. สุขภาพ
เทรนด์สุขภาพยังคงมาแรงและครอบคลุมไปถึงการเลี้ยงลูกด้วย ทั้งอาหารและของใช้ภายในบ้าน คุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ล้วนใส่ใจ และเลือกของสินค้าที่ปลอดภัย ปลอดสารพิษ หรือเป็นสินค้าออร์แกนิก บางครอบครัวสอนให้ลูกปลูกผักสวนครัวง่ายๆ ไว้สำหรับประกอบอาหารเอง
5. สิ่งแวดล้อม
การปลูกฝังเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นอีกโมเดลหนึ่งที่มีการปฏิบัติอย่างจริงจังใน การสร้างการเรียนรู้นอกห้องเรียน เช่น Deep Green Bush โรงเรียนทางเลือกในนิวซีแลนด์เปิดโอกาสให้เด็กได้ ใช้เวลาส่วนใหญ่ข้างนอกห้องเรียน เพื่อเรียนรู้ต้นไม้ สิ่งมีชีวิต ไปจนถึงการทำอาหาร เพื่อสร้างให้เกิดการเรียนรู้ปัญหาในชีวิตจริงที่แตกต่างไปจากโรงเรียนทั่วไป และที่สำคัญคือได้ปลูกฝังความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการเรียนรู้
6. การแชร์ของเล่น Toy-Sharing Subscriptions
พ่อแม่ยุคนี้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงมองหาวิธีการลดขยะจากของเล่น Toy-sharing subscriptions จึงถือเป็นโมเดลใหม่มาแรงที่ได้รับความนิยมจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก เมื่อพ่อแม่เลือกใช้บริการปันของเล่น จะได้รับของเล่นชิ้นใหม่ๆ ส่งตรงถึงบ้านเป็นประจำทุกเดือน ทำให้เด็กๆ ได้เล่นของเล่นที่ไม่ซ้ำ พร้อมกับลดการสร้างขยะ
7. นิทานเสียง Audio books
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าแสงสว่างจากหน้าจอส่งผลกระทบต่อสายตาของลูกอยู่ไม่น้อย Audio books หรือหนังสือนิทานเสียงจึงเหมือนการเปลี่ยนความสนใจจากการเปิดการ์์ตูน ซีรี่ย์ หรือหนังก่อนนอน มาสร้างจินตนาการผ่านนิทานเสียง และ Audio Books ยังเป็นผู้ช่วยที่จะช่วยกล่อมลูกให้หลับเร็วขึ้นอีกด้วย
10 ต.ค. 2566
29 ก.ย. 2566
24 ม.ค. 2568